เรื่องเล่าจากผู้เล่นเกมออนไลน์

ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอบอกกันก่อนนะครับว่า จำนวนไม่น้อยที่ไม่ค่อยเข้าใจว่าจริงๆ แล้วไอ้เกมที่เล่นๆ กันอยู่ในปัจจุบันนี้มันเป็นอะไรยังไงกันแน่ ผมมักจะเจอกับคำถามจากหลายๆ คน เมื่อมีเกมออนไลน์เปิดให้บริการใหม่ว่า “เกมนี้มันเป็นเกมแนวไหนอะพี่” แต่พอตอบกลับไปว่า “แนว MMORPG” แค่นั้นแหละ เครื่องหมาย   ไม่ต่ำกว่า 3 ตัว เกิดขึ้นบนหน้าคนถามทันที นั้นก็เพราะไอ้คนถามมันไม่เคยรู้ หรือเข้าใจมาก่อนเลยว่า “เกม” มันมีแยกย่อยออกเป็นหลายประเภท…และแต่ละประเภทก็มีรูปแบบการเล่น, การนำเสนอเนื้อหา แตกต่างกันออกไปด้วย…

ในโลกเรา ณ เวลาปัจจุบันแบ่งเกมออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ  คือ เกมออฟไลน์ กับ เกมออนไลน์ กลุ่มที่กำเนิดขึ้นมาก่อนคือ เกมออฟไลน์ (อันนี้เดี๋ยวจะบ่นในตอนต่อไป) มาดูกลุ่มเกมออนไลน์ที่กำลังเป็นที่ฮอตฮิตติดกันงอมแงมทั่วสามโลกกันก่อน…MMORPG ย่อมาจาก Massive Multiplayer Online Role-Playing Gameแปลเป็นไทย ได้ความว่า “เกมสวมบทบาทในระบบเครือข่ายที่มีผู้เล่นจำนวนมาก” มีรากเง้าดังเดิมมาจากเกมแนว RPG (Role-Playing Game) ภาษาชาวบ้านเรียก “เกมภาษา” ที่อยู่ในกลุ่มเกมออฟไลน์ มีรูปแบบการเล่นในลักษณะที่ผู้เล่นต้องใช้ชีวิตในโลกเสมือนจริงผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถจะทำอะไรก็ได้ตามที่ตัวเกมได้ถูกกำหนดให้สามารถทำได้ เนื้อหาของเกมจะมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเวทย์มนตร์, การต่อสู้ผจญภัย, สัตว์ประหลาด, เทพ, ปิศาจ, ของวิเศษ และอื่นๆ ที่มีตัวตนอยู่ในโลกแห่งเทพนิยายต่างๆ เกมแนวนี้มักเรียกกันในภาษาเกรียนว่า“เกมเก็บเวล” โดยตัวเกมจะมีระบบหลักๆ เหมือนกันทุกเกมคือ…

1.ระบบเลเวล : ระบบเลเวล เป็นตัวบ่งชี้ความสามารถของตัวละคร ยิ่งมีเลเวลสูงตัวละครก็จะเก่งขึ้น สามารถทำนั้นโน้นนี้นี่ได้มากขึ้น แต่ละเกมจะมีการกำหนดระดับเลเวลสูงสุดเอาไว้ไม่เท่ากัน บางเกมก็สูงสุดที่เวล 99 บางเกมก็บ้าพลังสูงสุดที่ เวล 300 ก็แล้วแต่ผู้พัฒนาเกมนั้นๆ (ไอ้เลเวลนี้แหละที่คำให้ “คนเล่นเกม”บ้าอยู่หน้าจอทั้งวันทั้งคืน เพราะกลัวตัวตรูไม่เก่ง)
2.ระบบอาชีพ : พื้นฐานอาชีพในเกมจะมีเพียงแค่ 4 ลักษณะ คือ Tanker, Damage Dealer, Nuker และ Healer  เป็นอีกระบบที่คนเล่นเกมมักมองหาแต่อาชีพที่เทพๆ เก่งกว่าชาวบ้าน

3.ระบบสกิล : เป็นระบบที่สอดคล้องกับระบบอาชีพ เพราะแต่ละอาชีพจะมีความสามารถแตกต่างกันไป

4.ระบบเควสต์ : เควสต์ หรือแปลเป็นไทยก็ ภารกิจ ในยุคแรกๆ ของเกมออนไลน์มันเป็นระบบที่มีไว้เพียงเพื่อบอกเล่านื้อเรื่องของตัวเกมเท่านั้น แต่ต่อมากลายเป็นระบบสำคัญที่เกมจะขาดไม่ได้ เพราะมันถูกปรับให้กลายเป็นระบบที่ช่วยผลักดันให้ช่วยเพิ่มค่าประสบการณ์ให้กับตัวละคร แต่บางเกมก็มีเควสต์ให้ทำมากสะจนน่ารำคาญ โดยเฉพาะเกมที่ผลิตจากประเทศจีน (มีจำนวนมาก+ไร้สาระมาก)
5.ระบบปาร์ตี้ : ระบบนี้ถูกบรรจุไว้ในเกมก็เพื่อทำให้เกิดการร่วมมือกันระหว่างผู้เล่นกับผู้เล่นด้วยกัน หากผู้เล่นปาร์ตี้กันจะสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างภายในเกมได้ลุล่วงรวดเร็วขึ้น เช่นการเก็บเลเวล แต่ปัจจุบันกลับมี “คนเล่นเกม” หลายๆ คน มองว่าการปาร์ตี้กันนั้นทำให้เก็บเลเวลช้า และไอเทมที่ได้ก็ต้องมาแบ่งกันอีก ไอ้ประเด็นที่รู้สึกว่าปาร์ตี้แล้วทำให้เก็บเวลช้า อันนี้ผมพอเข้าใจ เพราะว่าเกมออฟไลน์ กับ เกมออนไลน์ รุ่นแรกๆ ทำระบบปาร์ตี้ออกมาห่วยแตกมาก โดยกำหนดให้หารหั่นค่าประสบการณ์ด้วยจำนวนสมาชิกในปาร์ตี้ (แบบนี้ใครมันจะไปปาร์ตี้กันละครับ เก็บเวลคนเดียวได้เต็มๆ เน้นๆ) เหตุนี้เลยทำให้เกิดการฝังใจจากรุ่นสู่รุ่นว่าปาร์ตี้กันแล้วเวลช้า…แต่ไอ้ประเด็นเรื่องการแบ่งไอเทมกันในปาร์ตี้นี้ มันเกิดปัญหา เพราะความเห็นแก่ตัวของผู้เล่นเองมากกว่า…ระบบพื้นฐานของปาร์ตี้คือ การแบ่งไอเทมตามลำดับ ทำให้สมาชิกในปาร์ตี้ได้รับไอเทมจากมอนสเตอร์เรียงกันไปเรื่อยๆ แต่ถ้าบังเอิญ มีแรร์ไอเทมเข้าตัวใครสักคนในปาร์ตี้ แน่นอนเป็นที่สุดว่าจะมีใครสักคนในปาร์ตี้บอกให้ขายแรร์ไอเทมชิ้นนั้นแล้วแบ่งเงินกัน…ตรงนี้แหละที่มีหลายคนก็พานคิดเอาเองเสียว่า “ทำไมต้องตี้ด้วยฟะ ฆ่ามอนคนเดียวได้ของคนเดียวเก่งคนเดียวดีกว่า” (เจริญกันไป)

6.ระบบกิลด์ : เป็นระบบที่จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถรวมตัวกันได้เป็นจำนานมากกว่าระบบปาร์ตี้ เป็นระบบสังคมที่ทุกเกมต้องมี แถมตัวระบบยังมีการแบ่งชนชั้นวรรณะของสมาชิกในกิลด์ได้ด้วย…
7.ระบบสงคราม : เป็นระบบที่ช่วยส่งเสริมการแข่งขัน ทำให้ผู้เล่นที่รวมตัวกันเป็นกิลด์มีจุดมุ่งหมาย เพราะการมีชัยในการทำสงคราม มักจะตามมาด้วยสิ่งตอบแทนที่มากมาย ไม่ว่าจะเงินในเกม ไอเทมเทพๆ ที่จะมีเฉพาะผู้ครอบครองปราสาท หรือแม้แต่ชื่อเสียง (เฉพาะในเกมนะ นอกเกมก็เกรียนดีๆ นี่เอง)

 

 

 

 

 

 

 

This entry was posted in เกม and tagged . Bookmark the permalink.

Comments are closed.